ใต้ตาลึก ใต้ตาดำ มีถุงใต้ตา หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าดูหม่นหมอง
ไม่สดใส และยังดูแก่กว่าวัย เชื่อว่าหลายคนมักกังวลกับมันอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อต้องเผยผิวโดยไร้เครื่องสำอาง
ซึ่งปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาดำ และถุงใต้ตา อาจมีวิธีแก้ไขที่รวดเร็วอย่างการแต่งหน้า
แต่ก็เป็นเพียงวิธีที่ช่วยได้ชั่วคราวเท่านั้น...แล้วแบบนี้จะมีวิธีไหนที่ช่วยรักษาปัญหาใต้ตาให้ได้ผลลัพธ์ที่อยู่ยาวนานบ้าง
มาดูวิธีรักษาใต้ตาลึก ใต้ตาดำ ถุงใต้ตา ที่วงการความงามแนะนำกัน
3 วิธีรักษา ใต้ตาลึก ใต้ตาดำ ถุงใต้ตา
1. ฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับ ใต้ตาลึก ริ้วรอยใต้ตา
ขอบตาดำ
ฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการเติมเต็ม จึงช่วยแก้ไขริ้วรอยใต้ตาที่เหี่ยวย่นรวมทั้งมีร่องลึก
ให้เต่งตึงและเรียบเนียนขึ้นได้ นอกจากนี้ยังช่วยเติมเต็มชั้นผิว
รักษาความชุ่มชื้นให้ผิวใต้ตาดูสดใสมีชีวิตชีวา บอกลาใต้ตาลึก ใต้ตาดำ
โดยฟิลเลอร์สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 -
18 เดือน ซึ่งหากจะเลือกฟิลเลอร์ที่ฉีดใต้ตาแล้วดูเป็นธรรมชาติ
มีความยืดหยุ่นกับผิว ไม่จับตัวเป็นก้อน ควรเลือกฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid
2. Thermage FLX เหมาะสำหรับ
ถุงใต้ตา หนังตาตก ผิวรอบตาหย่อนคล้อย
Thermage FLX นวัตกรรมที่มีจุดเด่นในการยกกระชับผิวรอบดวงตา
โดยใช้คลื่นอัลตราซาวด์ลงลึกเพื่อจัดการความหย่อนคล้อยและถุงใต้ตา
โดยช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน
ซึ่งส่งผลให้ผิวรอบดวงตาแน่นกระชับ และเรียบเนียนขึ้น หมดปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาดำ
ริ้วรอยรอบดวงตา พร้อมทั้งยกตาให้สวยดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่อยู่นาน 1 - 2 ปี
โดยไม่ต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขผิวรอบดวงตา
3. Ultherapy เหมาะสำหรับ
ใต้ตาหย่อนคล้อย หางตาตก ริ้วรอยรอบดวงตา
Ultherapy นวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหารอบดวงตาโดยเฉพาะ
โดยมีความโดดเด่นสามารถส่งพลังงานลงลึกถึงผิวหนังชั้น
SMAS อย่างแม่นยำ
ซึ่งเป็นชั้นเดียวกันกับที่แพทย์ศัลยกรรมใช้ในการผ่าตัดดึงใบหน้า
ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจนในชั้นผิว เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวรอบดวงตา
ซึ่งส่งผลให้ริ้วรอยลดลง หางตากระชับ ดวงตาดูกลมโตขึ้นและอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
นอกจากแก้ปัญหาริ้วรอยแล้ว ยังช่วยจัดการปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาดำ และถุงใต้ตา
ให้ผลลัพธ์อยู่นาน 1-2 ปี โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ใช้เข็ม
และไม่เจ็บ
แม้วงการความงามจะมีทั้งเครื่องมือหรือนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหา
ใต้ตาลึก ใต้ตาดำ ถุงใต้ตา แต่ทั้งนี้การรักษที่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีได้
จำเป็นต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้ให้การรักษาด้วย
เนื่องจากลักษณะปัญหาของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน
อีกทั้งเครื่องมือและนวัตกรรมเหล่านี้ต้องมีการวางแผน
คำนวณการใช้งานให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลด้วย ดังนั้นหากต้องการรักษาปัญหารอบดวงตา
สิ่งที่ต้องพิจารณา คือ “วิธีการ และ ความชำนาญรวมถึงประสบการณ์ของแพทย์”